วันเสาร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2560

15 คําอวยพรวันคริสต์มาส ภาษาอังกฤษ พร้อมคําแปล



วันคริสต์มาส

          รวม 15 คําอวยพรวันคริสต์มาส ภาษาอังกฤษ พร้อมคําแปลภาษาไทยส่งให้เพื่อนและคนรักต้อนรับวันคริสต์มาส 2559 กันค่ะ 

          เทศกาลคริสต์มาส 2016 ใกล้จะมาถึงแล้ว หลาย ๆ คนโดยเฉพาะชาวคริสต์ ก็ถึงเวลาจะต้องเขียนคำอวยพรวันคริสต์มาสส่งถึงญาติ เพื่อน ๆ และคนรู้จักกันแล้ว และตอนนี้เชื่อว่าคงจะมีหลายคนที่ยังคิดคำอวยพรไม่ออก ไม่รู้จะเริ่มต้นด้วยคำไหนดีแน่นอน วันนี้กระปุกดอทคอมก็เลยขอรวบรวมคําอวยพรวันคริสต์มาสภาษาอังกฤษ พร้อมกับคำแปลมาฝากกันค่ะ


 You are special, you are unique. 
May your Christmas be also as special and unique as you are! 
Merry Christmas!

คุณเป็นคนพิเศษ คุณไม่เหมือนใคร 
ขอให้คริสต์มาสของคุณพิเศษแบบไม่เหมือนใครอย่างที่คุณเป็น 
สุขสันต์วันคริสต์มาส  



+++++++++++++++++++++++


 Here's wishing you all the joys of the season. 
Wish you and your family a Merry Christmas!

ขอให้คริสต์มาสของคุณเต็มไปด้วยความสนุก 
ขอให้คุณและครอบครัวมีความสุขในวันคริสต์มาส 



+++++++++++++++++++++++


 Sending the warmest Christmas wishes to you and your family. 
May God shower his choicest blessings on you and your family this Christmas!

ขอส่งคำอวยพรอันอบอุ่นที่สุดแด่คุณและครอบครัว 
ขอให้พระเจ้าทรงโปรยพรอันวิเศษที่สุดให้คุณและครอบครัวในคริสต์มาสนี้


+++++++++++++++++++++++


 May Christ bless you with all the happiness and success you deserve! Merry Xmas!

ขอให้พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานพรแด่คุณ ด้วยความสุขและความสำเร็จที่คุณคู่ควร สุขสันต์วันคริสต์มาส


+++++++++++++++++++++++


 May your world be filled with warmth and good cheer this Holy season, 
and throughout the year! Wish your Christmas be filled with peace and love. 
Merry Xmas. 

ขอให้โลกของคุณเต็มไปด้วยความอบอุ่น ความสดชื่น ในเทศกาลอันศักดิ์สิทธิ์นี้และตลอดปี
ขอให้คริสต์มาสของคุณเต็มไปด้วยสันติภาพและความรัก สุขสันต์วันคริสต์มาส


+++++++++++++++++++++++


 May the Christmas season fill your home with joy,
your heart with love and your life with laughter.

ขอให้เทศกาลคริสต์มาสเต็มเติมความสนุกให้ครอบครัวของคุณ
เต็มเติมหัวใจด้วยความรัก และเติมเต็มชีวิตด้วยเสียงหัวเราะ



+++++++++++++++++++++++

15 คำอวยพรสวย ๆ สำหรับเทศกาลคริสต์มาส

 May the miracle of Christmas fill your heart with warmth and love.
Christmas is the time of giving and sharing.
It is the time of loving and forgiving.
Merry Christmas!


ขอให้ปาฏิหาริย์แห่งคริสต์มาสเติมหัวใจคุณด้วยความอบอุ่นและความรัก
คริสต์มาสเป็นช่วงเวลาของการให้และการแบ่งปัน
เป็นช่วงเวลาแห่งความรักและการให้อภัย
สุขสันต์วันคริสต์มาส


+++++++++++++++++++++++
 Santa Claus is coming along with a rainbow of gifts especially for you.
Wish you a Merry Christmas.


ซานตาคลอสกำลังเดินทางมาพร้อมกับสายรุ้งแห่งของขวัญสำหรับคุณโดยเฉพาะ
สุขสันต์วันคริสต์มาส



+++++++++++++++++++++++ Merry Christmas. Hope Santa gives you what you wish for.

สุขสันต์วันคริสต์มาส ขอให้ซานตาคลอสมอบของขวัญที่คุณปรารถนาแด่คุณ


+++++++++++++++++++++++
 May the peace and blessings of Christmas be yours.
May the coming year be filled with happiness.

ขอให้สันติภาพและสิ่งดี ๆ จงอยู่กับคุณ
ขอให้ปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงนี้ เป็นปีที่เต็มไปด้วยความสุข


+++++++++++++++++++++++ May your life be colorful magnificent,shimmering and joyful.
Merry Christmas.

ขอให้ชีวิตของคุณเปล่งประกายงดงาม และเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข
สุขสันต์วันคริสต์มาส


+++++++++++++++++++++++
 May you receive all the love and happiness you deserve this Christmas.
Merry Christmas!

ขอให้คุณได้รับความรักและความสุขที่ควรค่าในคริสต์มาสนี้
สุขสันต์วันคริสต์มาส


+++++++++++++++++++++++ Christmas brings new hope for all of us.
I hope and pray that you will be able to fulfill your dreams.
May God bless you always!

คริสต์มาสนำความหวังใหม่มาให้เรา
ฉันหวังและอธิษฐานให้คุณได้เติมเต็มความฝัน
ขอให้พระเจ้าประทานพรให้คุณเสมอ


+++++++++++++++++++++++
 May your Christmas be joyful.
May your New Year be hopeful.
May you receive all your heart’s desires.

ขอให้คริสต์มาสของคุณเปี่ยมไปด้วยความสุข
ขอให้ปีใหม่ของคุณมีแต่ความสมหวัง
ขอให้คุณได้รับทุกอย่างที่หัวใจต้องการ

+++++++++++++++++++++++

 May this Christmas shine with moments of love, laughter and friendliness
and may the coming year bring you contentment and joy.
Have a Merry Christmas.

ขอให้คริสต์มาสนี้ส่องประกายไปด้วยความรัก เสียงหัวเราะ และมิตรภาพ
และขอให้ปีที่กำลังจะมาถึง นำพาความสุขและความสบายใจมาให้คุณ
สุขสันต์วันคริสต์มาส


+++++++++++++++++++++++

          ก็หวังว่าตัวอย่างคําอวยพรวันคริสต์มาส ภาษาอังกฤษ ที่เรานำมาฝากกันวันนี้ คงจะทำให้ใครหลายคนมีไอเดียในการนำไปปรับใช้ และท้ายนี้ กระปุกดอทคอมก็ขออวยพรให้คริสต์มาสนี้ของทุกคน เต็มไปด้วยความสนุกสดใส เบิกบานใจ และยิ้มต้อนรับปีใหม่ไปพร้อม ๆ กันนะคะ

ที่มา hilight.kapook.com

10 สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม ในไทย โดย Travel MThai

สวัสดีสมาชิกมิตรรัก ในที่สุดก็มาถึงเดือนสุดท้ายของปี 2013 ซึ่งเป็นช่วงเปิดฤดูของการท่องเที่ยวภายในประเทศ หรือไฮซีซั่นอย่างจริงจังกันเสียที! และแน่นอนสถานที่ท่องเที่ยวที่เหมาะในหน้าหนาวคงหนีไม่พ้น ยอดดอย ภูต่างๆ บนภาคเหนือ และอีสาน อยากจะบอกว่า ยังมีอีกสถานที่เที่ยวนอกจากบนที่สูงๆ ดังกล่าวแล้ว อย่างเช่น ทะเล หรือ ตลาดน้ำชื่อดังต่างๆ รวมไปถึงสวนสนุก ก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน
10 สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม ในไทย โดย Travel MThai
อาจเป็นเพราะการเดินทางที่ไม่ไกล หรือหลายๆ คนไม่ได้เตรียมแผนเที่ยวมาก่อนล่วงหน้า เลยไม่ทันจองโรงแรมที่พัก ก็เลยถือโอกาสหาที่เที่ยวใกล้ๆ นี่แหละ! ก่อนหมดปีนี้ ทางทีมงาน Travel MThaiได้ทำการรวบรวม 10 สถานที่ ท่องเที่ยวยอดนิยมในไทย ในฉบับ Travel MThai โดยวัดจากจำนวนผู้ที่เข้ามาค้นหาข้อมูลมากที่สุด (ปี 2013) มาฝาก ซึ่งจะเป็นที่ใดนั้น ติดตามกันได้เลยครับ…

10 สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม ในไทย โดย Travel MThai

สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทยอันดับ 10 โมโกจู อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ จังหวัดกำแพงเพชร
หลังจากที่มีกระแสต่อต้านการสร้างเขื่อนแม่วงก์ นับวันทำให้สถานที่แห่งนี้ได้รับความสนใจของนักท่องเที่ยวมากขึ้น เพราะอยากรู้ว่า ที่แห่งนี้มีความสำคัญอย่างไร? และธรรมชาติที่สมบูรณ์ก็ชวนให้เหล่าแบ็คแพ็คเกอร์ ต้องเก็บกระเป๋าไปเที่ยวแล้วล่ะซิ…

10 สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม ในไทย โดย Travel MThai
อันดับ 9 เกาะเสม็ด จังหวัดระยอง
นักท่องเที่ยวชาวไทย ยังคงหวั่นกลัวจากเหตุการณ์ท่อส่งน้ำมันดิบ ได้รั่วไหลลงบริเวณทะเล ในจังหวัดระยอง ทำให้ใครหลายคนไม่กล้าที่จะไปเที่ยวที่เกาะเสม็ดกัน อยากจะบอกว่า ทุกวันนี้ เกาะเสม็ด ได้กลับมาใสสะอาด น้ำน่าเล่นแล้วนะ และยังได้รับความนิยมจากชาวต่างชาติเหมือนเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิม คือ คนไทย ที่ยังไม่มาเที่ยวกันมากขึ้นนั้นเอง!
10 สถานที่ ท่องเที่ยวยอดนิยมในไทย โดย Travel MThai
อันดับ 8 เกาะไหง จังหวัดตรัง
เกาะไหง นั่นอยู่ที่ไหน? 
เป็นคำถามที่ทุกคนอยากรู้.. เพราะอย่างน้อยหลายคนก็ยังไม่ทราบว่า ทะเลสวย สงบ ชื่อชวนน่าฉงน อยู่ในอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา จังหวัดตรัง ในปัจจุบัน เกาะไหง ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวมากขึ้น…
10 สถานที่ ท่องเที่ยวยอดนิยมในไทย โดย Travel MThai
อันดับ 7 หมู่บ้านคีรีวง จังหวัดนครศรีธรรมราช
หมู่บ้านคีรีวง
 เป็นชุมชนเก่าแก่ในบริเวณเชิงเขาหลวง ในจังหวัดนครศรีธรรมราช นักท่องเที่ยวหลายๆ คน ที่ได้ไปเยือนหมู่บ้านแห่งนี้ ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า สวยงาม สงบท่ามกลางหุบเขา และที่สำคัญอากาศสดชื่นบริสุทธิ์มาก เหมาะสำหรับผู้ต้องการความสงบ เพื่อหลีกหนีความวุ่นวายในเมืองใหญ่
10 สถานที่ ท่องเที่ยวยอดนิยมในไทย โดย Travel MThai
อันดับ 6 ตลาดร่มหุบ จังหวัดสมุทรสงคราม
ตลาดร่มหุบ
 หรือ ตลาดแม่กลอง น่าจะเป็นสถานที่จับจ่ายสินค้าที่ชวนหวาดเสียวที่สุดในโลก ไม่น่าจะเกินจริงแต่อย่างใด เพราะเหล่าบรรดาแม่ค้าพ่อค้า ต่างตั้งแผงสองข้างทางรถไฟ ส่วนลูกค้าก็อาศัยทางรถไฟนี่ล่ะเป็นถนน ไว้เดินดูของกินของใช้ และความระทึกยังไม่สิ้นสุดลงแค่นี้ ในเมื่อรถไฟมา พ่อค้าแม่ค้าก็รีบเก็บร้าน และหุบร่มของตน เมื่อขบวนรถผ่านไป จึงจะกางร่ม ซึ่งระยะห่างระหว่างรถไฟกับแผงร้านค้าห่างกันไม่ถึง 2 เมตร ด้วยซ้ำ!
10 สถานที่ ท่องเที่ยวยอดนิยมในไทย โดย Travel MThai
อันดับ 5 อ.สวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี
อำเภอสวนผึ้ง
 ยังคงได้รับความนิยมอย่างไม่เสื่อมคลาย เนื่องจากเป็นสถานที่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ใช้เวลาเดินทางไม่มาก แถมในพื้นที่อ.สวนผึ้ง มีความหลากหลายทางภูมิศาสตร์ และภูมิอากาศอีกด้วย ถ้าใครอยากจะไปสัมผัสอากาศหนาวเหมือนอยู่บนดอย หรือภูสูงๆ ในอ.สวนผึ้ง ที่ เขากระโจม ก็ให้บรรยากาศแบบนี้ได้นะ
อันดับ 4 ทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี
ทองผาภูมิ
 เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความหลากหลายทางภูมิประเทศ ไม่ว่าจะเป็น ป่าไม้ ทุ่งหญ้า หุบเขา และแหล่งน้ำสำคัญ นอกจากธรรมชาติสมบูรณ์แล้ว ยังอากาศดีอีกด้วย ยิ่งช่วงหน้าหนาวไม่ต้องบอกเลยว่า “ทองผาภูมิ มันหนาวมาก” โดยมี เหมืองปิล๊อก จุดแลนด์มาร์คของที่นี่ ที่ทุกคนไม่ควรพลาดมาเยือน!
อันดับ 3 ภูป่าเปาะ หรือ ฟูจิเมืองเลย จังหวัดเลย
ภูป่าเปาะ
 แหล่งท่องเที่ยวน้องใหม่ในจังหวัดเลย ที่ให้ทัศนียภาพในการชมภูหอ ได้สวยงาม ตระการตา โดยเฉพาะในช่วงเวลายามเช้า ก่อนแสงของวันใหม่กำลังจะขึ้น นักท่องเที่ยวจะได้เห็นยอดของภูหอที่สูงเสียดฟ้า อยู่ท่ามกลางกลุ่มหมอกและก้อนเมฆ ให้อารมณ์เหมือนได้เห็นภูเขาไฟ ฟูจิยาม่า จากประเทศญี่ปุ่น
10 สถานที่ ท่องเที่ยวยอดนิยมในไทย โดย Travel MThai
อันดับ 2 สวนน้ำ ซานโตรินี วอเตอร์ แฟนตาซี ชะอำ จังหวัดเพชรบุรี
มาถึงสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม ที่เกิดจากการสร้างสรรค์ของมนุษย์กันบ้าง ที่ได้รับความนิยมจากสมาชิกผู้อ่าน นั่นคือ สวนน้ำ ซานโตรินี วอเตอร์ แฟนตาซี ที่อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี สวนน้ำน้องใหม่และมาแรงของปีนี้ ที่มีเครื่องเล่นมากมาย ให้นักท่องเที่ยวได้สนุก ปนตื่นเต้น และสดชื่นไปพร้อมกัน.. ใครชอบกิจกรรมสนุกๆ ท้าทาย งานนี้ห้ามพลาดเลยทีเดียว!
 สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย
10 สถานที่ ท่องเที่ยวยอดนิยมในไทย โดย Travel MThai
อันดับ 1 อุทยานแห่งชาติ ถ้ำปลา – น้ำตกผาเสื่อ จังหวัดแม่ฮ่องสอน
และแล้วก็มาถึง สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมจากจำนวนคลิกของคนดูมากที่สุดในปี 2013 นั่นคือ อุทยานแห่งชาติ ถ้ำปลา – น้ำตกผาเสื่อ จังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ อากาศเย็น สดชื่น ตลอดทั้งปี โดยมีจุดท่องเที่ยวสำคัญคือ ถ้ำปลา ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขามีลักษณะเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ เป็นสถานที่ที่มีความพิเศษ แตกต่างไปจากสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ก็คือ มีบรรดาหมู่ปลาจำนวนมากที่มาอยู่อาศัยในถ้ำแห่งนี้ ได้แก่ ปลามุง ปลาคัง หรือปลาพลวง เป็นปลามีเกล็ดขนาดใหญ่ และหายากมากที่อยู่ในสถาพแวดล้อมแบบนี้
ภาพจาก : saisampan.multiply.com / เที่ยวเมืองเลย / traave.com
บทความและเรียบเรียงโดย Travel MThai

9 วิธี ทําดี ทำง่ายๆ เริ่มจากตัวเรา

วันนี้เราเจอบทความนึงที่อ่านแล้วรู้สึกว่าน่าจะดีกับทุกคนมาฝากกันค่ะ เกี่ยวกับวิธีการทำดี ได้บุญ และไม่ต้องใช้เงิน แต่สิ่งที่เรามองต่างออกมาคือ เราแค่อยากให้ทุกคนได้ทำความดีกัน ด้วยวิธีการอะไรก็ได้ที่ง่ายๆ และผู้รับก็สามารถรับได้เลยโดยไม่ต้องรอวันข้างหน้า ที่สำคัญให้คิดเรื่องของผลบุญเป็นเรื่องรองลงมา เพราะเราเชื่อว่าการที่ทุกคนได้ทำความดีให้กันแล้ว มันก็จะก่อให้เกิดความสุขจากการลงมือทำความด้วยตัวของตัวเองค่ะ


คนไทยเรานั้น ได้ชื่อว่าเป็นพวกที่ชอบทําบุญสุนทานอยู่เสมอ
ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะความ เชื่อที่ว่า ‘ทําดีได้ดี ทําชั่วได้ชั่ว’ ซึ่งแม้ปัจจุบัน
หลายคนจะรู้สึกกังขาว่า ทําไม คนที่เรารู้สึกว่าชั่ว ยังคงได้ดิบได้ดี
เช่น ยังมีเงินทองและใช้ชีวิตที่สุขสบายกว่าเรา
แต่นั่นก็ยังอธิบายได้ว่า
เขาทํากรรมเก่าดี หรือยังกินบุญเก่าอยู่ ซึ่งที่เราเห็นด้วยตาว่า
เขาสุขสบายก็อาจไม่จริง บางที
เขาอาจกําลังทุกข์ใจ เพราะต้องคอยระแวง ปกปิดความผิดของตน กลัวคนไปล่วงรู้อยู่ก็ได้
อย่างไรก็ดี โดยพื้นฐานแล้ว คนส่วนใหญ่ก็มักจะชอบทําบุญ
เพราะเชื่อว่าเป็นการทําความดี
และเป็นการสะสมผลบุญ ที่จะสนองให้เราได้รับสิ่งที่ดีในอนาคต หรือในชาติหน้า ซึ่งโดย
แท้จริงการทําบุญนั้น ทันทีที่ทําก็เป็นความสุขแล้ว

เพราะ บุญคือ
การทําความดีด้วยวิธีการต่างๆ ที่ทําให้อิ่มเอิบเบิกบานใจ
โดยทั่วไป คนมักทําบุญกุศลด้วยการบริจาคทรัพย์ สิ่งของ หรือให้ทานเป็นโอกาสๆ เช่น
บริจาคช่วยผู้ประสบภัยธรรมชาติ ร่วมสร้างศาสนสถาน ทอดกฐินผ้าป่า
ช่วยเด็กกําพร้า หรือช่วยซื้อโลงศพ เป็นต้น ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่เชื่อไหมว่า
ในชีวิตประจําวันของคนเรานั้น เรามีโอกาสทําความดี หรือทําบุญได้ตลอดเวลา
โดยไม่ต้องใช้เงินทองหรือสิ่งของถึงแม้เราจะ
ไม่ได้มีอาชีพเป็นแพทย์ พยาบาลที่ต้องช่วยเหลือคนเป็นประจําอยู่แล้วก็ตาม
จะทําได้อย่างไรนั้น กลุ่มประชาสัมพันธ์ สํานักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ
กระทรวงวัฒนธรรม ขอเสนอแนะ 9 วิธีทําดี ได้บุญ
แบบไม่ต้องใช้เงิน เพื่อเป็นแนวทางให้
ท่านได้สะสมกุศลให้เพิ่มพูนขึ้น ดังต่อไปนี้

1.ตื่นเช้าขึ้นมาก็คิดแต่สิ่งดีๆ 
ทันทีที่ตื่นนอน หากเราคิดถึงแต่สิ่งที่ดีที่งาม ก็จะทําให้จิตใจเราสดชื่น กระตือรือร้น พร้อมที่จะรับมือกับชีวิตประจําวันด้วยความรื่นเริง ไม่หงุดหงิดโมโห แค่นี้ นอกจากเราจะมีความสุขแล้ว คนรอบข้างเราก็มีความสุขไปด้วยถือว่าเป็นการทําบุญอย่างหนึ่ง

 2.ยิ้มแย้มแจ่มใส
ในแต่ละวัน หากเราจะรู้จักยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ว่าจะยิ้มกับคนรู้จักหรือไม่รู้จักก็ตาม หน้าตาของเราก็จะดูเป็นมิตร ทําให้คนอยากเข้าใกล้ ถ้าเราเป็นพ่อแม่ยิ้มกับลูกก่อนไปทํางาน ลูกก็ดีใจ ลูกยิ้มกับพ่อพ่อแม่ พ่อแม่ก็สบายใจว่าต่างคนต่างไม่มีเรื่อง เดือดร้อนใจแน่ หรือหากมีก็กล้าจะมาปรึกษาหารือ หรือหากเป็นเจ้านาย ยิ้มกับลูกน้องๆ ก็รู้ว่าวันนี้นายอารมณ์ดี ทําให้ทํางานด้วยความมั่นใจไม่ต้องระแวงว่าจะถูก เรียกไปต่อว่าและถ้าเรียกก็ดูน่าจะมีเมตตา กว่าเวลาที่นายทําหน้ายักษ์

3.ทักทาย โอปราศรัย
คนบางคน นอกจากจะไม่ยิ้มกับใครแล้ว ยังชอบทําหน้าบึ้งตึงไม่คิดจะพูดจาทักทายใครด้วย ซึ่งถ้าเกิดทํางานด้านบริการ คนมาติดต่อคงรู้สึกเกร็งและกังวลตลอดว่าจะถูกเอ็ดตะโรเมื่อไรก็ไม่รู้ ดังนั้น นอกจากยิ้มแย้มแจ่มใสแล้ว เราก็ควรจะเอื้อนเอ่ยวาจาทักทายผู้มารับบริการก่อน การทักทายปราศรัยกับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นผู้มาขอรับบริการเพื่อนฝูงคนรู้จัก ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาหรือแม่แต่คนที่มาทํางานให้เรา เช่น แม่บ้าน ยาม ฯลฯ จะทําให้เขารู้สึกเป็นมิตร และอบอุ่นใจ ทําให้บรรยากาศในที่นั้นๆ ดีขึ้น

4.แบ่งปันน้ำใจไมตรี
สามารถทําได้ทุกที่และทุกเวลา เช่น ช่วยพ่อแม่จัดโต๊ะอาหารล้างถ้วยชาม ลุกให้เด็ก ผู้หญิงท้อง หรือคนแก่นั่งช่วยถือของหนักให้คนในรถเมล์ หยุดรถให้คนข้ามถนน หรือรถอื่นไปก่อน ช่วยแบ่งเบาภาระงาน ให้เพื่อนในที่ทํางาน เป็นต้น การให้ความช่วยเหลือเช่นนี้ เป็นการทําบุญด้วยการลดความเห็นแก่ตัวของเราลงและทําให้เราได้รับมิตรไมตรีสนองตอบกลับมาด้วย

5.ปลุกปลอบให้กําลังใจ
ช่วยแก้ไขปัญหา หลายๆครั้งที่เพื่อนฝูงญาติมิตรอาจประสบปัญหาชีวิต และเกิดความทุกข์ใจแสนสาหัส สิ่งที่ดีที่สุดคือความเป็นมิตรและถ้อยคําที่ปลุกปลอบให้กําลังใจ คําพูดดีๆ ที่มาจากใจจะทําให้ผู้ที่ตกอยู่ในห้วงทุกข์ รู้สึกดีขึ้นและมีพลังที่ต่อสู้ชีวิตต่อไปได้

6.ให้คําชมด้วยความนิยมยินดี
การกล่าวคําชื่นชมต่อผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆ ย่อมจะทําให้ผู้รับคําชมรู้สึกปลาบปลื้มยินดี และมีความสุขได้ โดยเฉพาะในเรื่องที่เขาทําสําเร็จ แต่ทั้งนี้ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงและจริงใจด้วยดูอย่างตัวเราเองแค่วันไหน แต่งตัวสวย แล้วมีคนชม เราก็หน้าบานไปทั้งวันแล้ว เช่นเดียวกันคนทุกคนล้วนอยากได้การยอมรับและคําชมทั้งนั้น เพราะคําชมจะเป็นการเสริมเพิ่มกําลังใจให้ อยากทําดียิ่งๆ ขึ้นไป

7.แนะนําให้คําสอนที่ดี มีคุณค่า
ไม่ว่าจะเราจะอยู่ในสถานภาพใด เช่น เป็นลูก เป็นพ่อแม่ลูกน้อง เจ้านาย เพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมอาชีพ ฯลฯ หากเราจะมีเมตตา แนะนําในสิ่งที่ดี มีประโยชน์และคุณค่าต่อผู้อื่นหรือสอนในสิ่งที่เราชํานาญให้แก่ผู้อื่น ก็จะเป็นการช่วยเกื้อกูลสังคมให้ดียิ่งขึ้น และผลก็จะย้อนมาสู่ตัวเราผู้ทําด้วย เช่น สอนงานให้ลูกน้องต่อไป เมื่อเขาทํางานเป็น เราก็ไม่ต้องเหนื่อยมาก และเขาก็จะรู้สึกขอบคุณเรา แนะวิธีออกกําลังกายให้พ่อแม่ ท่านก็แข็งแรง ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยง่าย เราก็สบายใจ หรือแม้แต่การแนะนําให้ความรู้ที่เรามี หรือทราบมาแก่คนไม่รู้จัก อย่างแนะนําหมอ ยาดีๆ   หรือธรรมะที่ดีแก่คนอื่น ทําให้เขาหายป่วยหรือรู้สึกดีขึ้น เขาก็จะอธิษฐานหรือให้พรเราทําให้เราพบแต่สิ่งดีๆ ในชีวิต

8.การให้อภัยในความผิดพลาดของผู้อื่น
โดยทั่วไปคนเรามักจะให้อภัยตัวเองง่ายและมีข้อแก้ตัวให้ตนต่างๆ นานา แต่ถ้าผู้อื่นผิดพลาดแล้ว เรามักเห็นเป็นเรื่องใหญ่และตําหนิติเตียนไม่รู้จักแล้วจบ ดังนั้น เราจะต้องหัดมีเมตตารู้จักให้อภัยต่อผู้อื่นให้ง่าย เหมือนให้อภัยแก่ตัวเราเอง เพราะการให้อภัยจะทําให้เราไม่ผูกใจเจ็บ ไม่อาฆาตมาดร้าย ไม่ก่อศัตรู แต่ทําให้จิตใจเราสงบเย็นเป็นการฝึกจิตพื้นฐานอย่างหนึ่ง ที่จะนําไปสู่กุศลขั้นสูงอื่นๆ ต่อไป

9.ฝึกจิตให้สงบและสบาย
ด้วยการทําสมาธิหรือสวดมนต์ การทําสมาธิ ฟังดูเหมือนยากแต่จริงๆ เราทําได้ตลอดเวลาไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน หรือทําอะไรอยู่ เช่น กินข้าว  อาบน้ํา ทําการบ้าน ทํางานบ้าน อ่านหนังสือ อยู่ที่ทํางานหัวใจหลักคือให้เอาใจไปจดจ่อในสิ่งที่ทําเพียงอย่างเดียว จะทําให้เราทําทุกอย่างได้ดีขึ้นเพราะไม่พะวักพะวนคิดหรือทําหลายอย่างในเวลาเดียวกันอันทําให้ขาดสติและทุกๆ คืนก่อนนอน ก็ควรสวดมนต์ไหว้พระที่เรานับถือ โดยอาจเลือกบทสวดสั้นๆ ที่เราชอบ เสร็จแล้วก็อย่าลืมแผ่เมตตาให้กับตัวเราเอง และผู้อื่นตามสมควรที่กล่าวมาทั้งหมด จะเห็นได้ว่าเป็นการทําความดีที่ไม่ต้องใช้เงินเลยแต่สามารถปฏิบัติในชีวิตประจําวันของเราได้ โดยไม่ยากเย็นเข็ญใจจนเกินไปอีกทั้งปฏิบัติแล้วก็เป็นบุญกุศลที่จะเกื้อหนุนให้เราและคนรอบตัวมีความสุข เพราะ’บุญ’ ในอีกความหมายหนึ่งก็คือ เครื่องชําระกาย ใจให้บริสุทธิ์เป็นการทําประโยชน์ให้แก่ตัวเราเองและผู้อื่น และยังช่วยลดกิเลส ความเศร้าหมองต่างๆ ได้

เริ่มทําแต่วันนี้เลยนะคะ เพราะมีคนบอกว่า  ’ความดีไม่มีขาย อยากได้ต้องทําเอง

Credit :  วัดอินทราม

ความรู้เรื่องการ "กินเจ"



"กินเจ" เป็นคำที่คุ้นหูกันมากสำหรับบรรดาสาธุชนผู้ใฝ่ใจในการปฏิบัติธรรมทั้งหลาย แต่สำหรับคนทั่วไปส่วนใหญ่ยังคงคิดกันไปว่า การกินเจเป็นเรื่องของคนที่เชื่อบาปเชื่อบุญมากกว่า จะเห็นว่าแท้จริงแล้วการกินเจเป็นเรื่องของเหตุและผลที่ถูกต้องดีงาม มีคำกล่าวว่า "คนเราจะยืนได้ ขาทั้งสองต้องแข็งแรงเสียก่อน" ความหมายก็คือ ก่อนที่เราจะลงมือปฏิบัติการงานใดๆ ก็ตาม จำเป็นต้องมีพื้นฐานที่มั่นคงเสียก่อน สิ่งสำคัญสองประการที่จะช่วยเหลือค้ำจุนให้เรามีรากฐานที่มั่นคง ได้แก่
ประการที่ 1 คือ "ความรู้" เราต้องศึกษาหาความรู้ในเรื่องที่จะปฏิบัติให้ดีเสียก่อน โดยอาศัยการได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน มามากพอสมควร

ประการที่ 2 คือ "สติปัญญา" เราต้องรู้จักใช้สติปัญญาเข้าไปพิจารณาความรู้เหล่านั้นอย่างรอบคอบ จนบังเกิดความเข้าใจกระจ่างชัดถึงเหตุและผล โดยถูกต้องถ่องแท้ หากจะลงมือปฏิบัติการใดๆ โดยขาดทั้งความรู้และสติปัญญาพิจารณา ก็ยากที่จะสำเร็จลุล่วงไปได้ เมื่อไม่ศึกษาก็ไม่รู้ รู้แล้วไม่พิจารณาก็ไม่เข้าใจ แต่ผู้ที่ศึกษาจนเข้าใจดีแล้ว ยังไม่ลงมือปฏิบัติก็ไร้ประโยชน์ โอสถทิพย์แม้จะวิเศษล้ำเลิศสักปานใด หากคนไม่ยอมกิน ผลดีนั้นก็ไม่มีทางจะเกิดขึ้นแก่เขาได้เลย การกินเจเป็นเรื่องรู้ได้เฉพาะตน ผู้ที่ได้ปฏิบัติแล้วเท่านั้นจึงจะประจักษ์แจ้งถึงคุณวิเศษ อันล้ำเลิศได้ด้วยตนเอง



บทความเรื่อง "การกินเจ" นี้ จึงมุ่งหวังให้ผู้ที่สนใจได้ศึกษาในอีกแง่มุมหนึ่งของการกินเจ เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติตน และเรียนรู้ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นต่อไปภายหน้า ฉะนั้นขอให้ผู้ที่มีรากบุญกุศล อันสร้างสมมาแล้วในอดีต และตั้งใจจะปฏิบัติบำเพ็ญต่อไปในชาตินี้ควรศึกษา "การกินเจ" ให้เข้าใจกระจ่างแจ้ง เมื่อใดที่ศรัทธามั่นคงดีแล้ว จิตย่อมบังเกิดมีพลังแกร่งกล้า สามารถฝ่าฟันอุปสรรคทั้งหลาย บนเส้นทางของการบำเพ็ญธรรม และแล้วเมื่อนั้นเราก็จะสามารถบรรลุสู่เป้าหมายอันสูงสุดไปได้โดยไม่ยากเลย 


ความหมายของคำว่า "เจ" 
คำว่า "เจ" ในภาษาจีนมีความหมายทางพุทธศาสนาฝ่ายมหายานว่า "อุโบสถ" คำว่า "กินเจ" ตามความหมายที่แท้จริงคือการรับประทานอาหารก่อนเที่ยงวัน ดังเช่นที่ชาวพุทธในประเทศไทยถือ "อุโบสถศีล" หรือ "รักษาศีล 8" จะไม่รับประทานอาหารหลังจากเที่ยงวันไปแล้ว แต่เนื่องจากการถืออุโบสถศีล ของชาวพุทธฝ่ายมหายานไม่กินเนื้อสัตว์ จึงนิยมเรียก "การไม่กินเนื้อสัตว์" ไปรวมกันคำว่า "กินเจ" ซึ่งเป็นการถือศีลไปด้วย ในปัจจุบันผู้ที่รับประทานอาหารทั้ง 3 มื้อ แต่ไม่กินเนื้อสัตว์ก็ยังคงเรียกว่า "กินเจ" ฉะนั้นความหมายก็คือ "คนกินเจ" มิใช่เพียงแต่ไม่กินเนื้อสัตว์ แต่คนที่กินเจ ยังต้องดำรงตนอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม มีความบริสุทธิ์สะอาด งดงามทั้งกาย วาจา ใจ เป็นการถือศีลบำเพ็ญธรรมไปด้วยพร้อมกัน เช่นนี้แล้วจึงจะเรียกว่า "กินเจที่แท้จริง" ดังนั้น คำคล้องจองที่เราได้ยินอยู่เสมอ คือ "ถือศีลกินเจ" จึงนับว่ามีความหมายสมบูรณ์ครบถ้วนอยู่ในตัวเองแล้ว

ตามร้านขาย "อาหารเจ" เราจะพบเห็นตัวอักษร คำนี้อ่าน "ไจ" (เจ) แปลว่า "ไม่มีของคาว" เขียนด้วยสีแดงบนพื้นสีเหลืองเสมอ ในช่วงเทศกาลกินเจเดือน 9 จะเห็นตัวอักษรนี้เขียนบนธงสีเหลือง ปักอยู่ตามแผงขายอาหารเจมองเห็นเป็นที่สะดุดตาแก่คนทั่วไป ชาวจีนถือว่าสีแดงเป็นสีแห่งสิริมงคลแก่ชีวิต สีเหลืองเป็นสีของผู้ทรงศีล ดังนั้นผู้ตั้งใจถือศีลบำเพ็ญตนให้บริสุทธิ์ ตัวอักษรนี้ย่อมเป็นเครื่องหมายเตือนสติให้ระลึกไว้เสอมว่า "การกินเจงดเว้นเนื้อสัตว์ของคาวคือ การปฏิบัติธรรม รักษาศีลของความเป็นมนุษย์ เป็นการเจริญมหาเมตตากรุณาธรรมโดยแท้ อันจะนำมาซึ่งความเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง และก่อให้เกิดสันติสุขแก่ทุกชีวิตบนโลก"

รู้และเข้าใจในการกินเจอย่างถูกต้อง

ตั้งแต่โบราณกาลนับเป็นพันๆ ปีจวบจนกระทั่งถึงปัจจุบันไม่ว่าโลกจะผันแปรไปในทิศทางใดก็ตาม คนจำนวนหลายพันหลายหมื่นครอบครัวที่ดำรงชีวิตอยู่ ด้วยการรับประทานแต่อาหารเจสืบทอดจากบรรพบุรุษก็ยังมีอยู่ให้พบเห็นได้ในทุก วันนี้

"อาหารเจ" เป็นอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากพืชผักธรรมชาติล้วนๆ ไม่มีเนื้อสัตว์ปะปนและที่สำคัญต้องไม่ปรุงด้วยผักฉุนทั้ง 5 ได้แก่

กระเทียม
หัวหอม
หลักเกียว
กุ้ยฉ่าย
ใบยาสูบ
บรรพชนในแต่ละครัวเรือนของคนกินเจได้ถ่ายทอดหลักของการกินเจที่ถูกต้อง และศิลปะในการปรุงไว้ให้แก่ลูกหลานของตน สืบต่อเนื่องกันมาโดยไม่ขาดสาย คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าอาหารเจเป็นอาหารที่มีรสจืดชืดไม่อร่อย ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดพลาดมาก ทั้งนี้อาจเป็นเพราะไม่มีโอกาสลิ้มรสอาหารเจที่แท้จริงก็เป็นได้ อาหารเจมีรสชาดอร่อยกลมกล่อมต่างไปจากอาหารที่ปรุงด้วยเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารเจไม่มีกลิ่นเหม็นคาวๆ ใดเลย อาหารเจบางอย่าง  คนทั่วไปที่รับประทานแต่อาหารเนื้อจะไม่มีโอกาสรู้จักหรือได้ลิ้มรสเลยใน ชีวิต เนื่องด้วยอาหารเหล่านั้นทำขึ้นรับประทานกันเฉพาะในบรรดากลุ่มคนที่กินเจ เท่านั้น บางคนมักคิดเอาเองว่า หากรับประทานแต่อาหารเจจะทำให้เป็นโรคขาดอาหาร แต่ทางการแพทย์กลับยืนยันว่าไม่ว่าจะเป็นคนที่กินอาหารเนื้อหรือคนที่กินเจ ก็มีสิทธิ์เป็นโรคขาดอาหารได้เท่ากัน

สาเหตุสำคัญของโรคขาดอาหารในคนทั้ง 2 กลุ่ม ก็คือการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกหลัก บริโภคอาหารไม่ครบ 5 หมู่ ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต แป้งและน้ำตาล โปรตีน ไขมัน วิตามิน และเกลือแร่ เป็นเหตุให้ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ไม่ครบถ้วนตามที่ร่างกายต้องการ ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าโรคขาดอาหารไม่ได้ขึ้นอยู่กับการกินเนื้อหรือกินเจ แต่ขึ้นอยู่กับนิสัยกินตามใจ เลือกกินแต่อาหารที่ตนชอบ โดยไม่คำนึงถึงคุณประโยชน์ที่จะได้จากการรับประทานอาหารนั้นๆ ในความเป็นจริงแล้ว คนที่กินเจอย่างถูกหลักจะรู้สึกว่าตนได้รับประทานอาหารที่มีคุณค่า มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายครบถ้วนสมบูรณ์มากกว่าคนที่บริโภคอาหารเนื้อเสียอีก

ผู้ที่ทดลองรับประทานอาหารเจได้ระยะหนึ่งถึงกับกล่าวว่า "การรับประทานอาหารเจ ทำให้มีโอกาสได้กินพืชผักที่มีคุณประโยชน์มากมายหลายชนิด ซึ่งในระหว่างที่รับประทานอาหารเนื้อไม่เคยใส่ใจเลย" คนกินเจ รู้จักวิธีดัดแปลงแปรรูปธัญพืชในธรรมชาติให้ได้มาซึ่งโปรตีน เราจะพบเห็นผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปจากเมล็ดถั่วเหลืองมากมายหลายชนิด เช่น น้ำนมถั่วเหลือง (น้ำเต้าหู้) เต้าหู้ขาว เต้าหู้เหลือง เต้าเจี้ยว น้ำมันถั่วเหลือง ซี่อิ๊ว ฟองเต้าหู้ ฯลฯ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ล้วนเป็นแหล่งโปรตีนอันอุดมและมีคุณค่าสูงยิ่ง ทุกวันนี้ไม่ว่าเด็ก หรือ ผู้ใหญ่ นิยมบริโภคแต่เนื้อสัตว์กันมากจนละเลยอาหารผักซึ่งมีคุณประโยชน์สูงไปอย่าง น่าเสียดาย หลายคนมีนิสัยเลือกรับประทานเฉพาะเนื้อสัตว์แล้วเขี่ยผักทิ้งไม่ยอมบริโภค นี้แหละเป็นสาเหตุสำคัญของโรคขาดสารอาหาร ทำให้ร่างกายไม่ได้รับสารอาหารครบตามที่ต้องการ จะพบว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ที่ทานผักน้อยหรือไม่ทานเลยมักป่วยเป็นโรคต่างๆ เช่น โรคขาดอาหาร ขาดวิตามิน โรคกระเพาะ โรคเกี่ยวกับลำไล้และทางเดินอาหาร สุขภาพไม่แข็งแรง เชื่องซึม ไม่เฉลียวฉลาด ขาดปฏิภาณไหวพริบ สติปัญญาต่ำ พัฒนาการทางร่างกายและจิตใจไม่สมบูรณ์

ประจักษ์พยานสำคัญที่บ่งชี้ให้เห็นถึงความล้ำค่าของอาหารเจก็คือ บรรดาครอบครัวของผู้ที่กินเจตั้งแต่บรรพบุรุษสืบต่อกันลงมาหลายชั่วคน ก็ยังคงมีให้เราพบเห็นอยู่จนทุกวันนี้ จากคนรุ่นหนึ่งสู่คนอีกรุ่นหนึ่งต่อเนื่องกัน หลักเกณฑ์ที่ถูกต้องดีงามและทรงคุณค่า ก็ยังอยู่เป็นอมตะไม่เปลี่ยนแปลง ทุกๆ คน ทุกๆ ครอบครัวที่บริโภคแต่อาหารเจ ล้วนมีพลานามัยที่สมบูรณ์แข็งแรง ปราศจากโรคร้ายแรงเบียดเบียน และสามารถปฏิบัติภาระกิจการงานได้เป็นอย่างดี แม้แต่ทารกที่เกิดจากมารดาซึ่งกินเจอย่างถูกหลัก ก็ไม่พบว่าขาดสารอาหารแต่อย่างใด ตรงกันข้าม เด็กๆ ทุกคนล้วนมีร่างกายแข็งแรงสุขภาพอนามัยดีไม่เป็นโรคติดต่อใดๆ ได้ง่าย มีภูมิต้านทานสูง จิตใจเบิกบาน ร่าเริงสดใส เฉลียวฉลาด ปฏิภาณไหวพริบ สติปัญญาดี เพราะฉะนั้นคนเราถึงจะมีฐานะดี ร่ำรวยมหาศาล แต่หากไม่รู้จักรับประทานอาหารให้ถูกต้องครบถ้วน ก็เป็นโรคขาดสารอาหารได้พอๆ กับคนยากจนอดอยากที่ไม่มีจะกิน

ไม่ว่าท่านจะกินเนื้อหรือกินเจ หากกินไม่ถูกต้องก็มีสิทธิ์เป็นโรคขาดอาหารได้เท่ากัน พึงตะหนักไว้อยู่เสมอว่า "ทรัพย์สินเงินทองซื้อสุขภาพไม่ได้ สุขภาพที่ดีขึ้นอยู่กับการรู้จักปฏิบัติตัวของท่านเอง" แม้ในปัจจุบันนี้ จะเป็นโลกของวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีที่ล้ำยุค แต่การค้นพบความเร้นลับต่างๆ ในธรรมชาติ ได้กลับกลายมาเป็นข้อพิสูจน์ยืนยันให้แก่หลักเกณฑ์ของการกินเจที่มีมานานนับ เป็นพันๆ ปี ได้อย่างเหมาะสมคล้องจองจนแทบไม่น่าเชื่อ ฉะนั้น เราควรหันมาศึกษาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า "คนกินเจ" เขามีหลักปฏิบัติอันสืบทอดกันมาตั้งแต่ครั้งบรรพกาลอย่างไร

หลักในการปรุง และรับประทานอาหารเจที่ถูกต้อง

ชาว ต่างประเทศจำนวนมากที่เดินทางไปประเทศจีน มักจะพากันแปลกประหลาดใจ เมื่อได้พบเห็นภัตตาคาร ซึ่งบริการ "ปรุงอาหารตามใบสั่งแพทย์" มูลเหตุที่สร้างความฉงนสงสัยให้แก่บรรดาผู้มาเยือน ก็เนื่องด้วยทางภัตตาคารจะบริการอาหาร ให้แต่เฉพาะผู้ที่มี "ใบสั่งอาหารของแพทย์" เท่านั้น นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ไม่เคยทราบเลยว่า ลูกค้าที่เข้าไปในภัตตาคารดังกล่าว เป็นคนไข้ที่ได้รับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์และอยู่ในระหว่าง "การบำบัดโรคด้วยอาหารตามหลักเวชศาสตร์โบราณ" ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่แตกต่างไปจากการรักษาโรคโดยให้ผู้ป่วย "กินยา ตามใบสั่ง" ซึ่งเป็นวิธีที่แพทย์แผนปัจจุบันชาวตะวันตกนิยมปฏิบัติ แต่ในหมู่ชนชาวจีนมีคำกล่าวว่า "อาหารและยามาจากแหล่งเดียวกัน" คำพูดนี้ได้บ่งชี้ว่า อาหารก็คือยานั่นเอง

หลักการแพทย์ของจีนมุ่งเน้นไปที่การป้องกันไม่ให้ร่ายกายเจ็บป่วย โดยวิธีดูแลรักษาสุขภาพให้ดี ไม่ใช่เพียงแต่บำบัดอาการเมื่อเกิดเจ็บป่วยขึ้นแล้วเท่านั้น แพทย์จีนกล่าวว่า "หัวใจของการมีสุขภาพที่ดี คือ การกินที่ถูกต้อง เพราะอาหารที่คนเรารับประทานเข้าไปแต่ละวัน มีผลต่อร่างกายและจิตใจอย่างมาก" "อาหารเจ" เป็นอาหารที่ปรุงโดยปราศจากเนื้อสัตว์รวมทั้งไม่มีส่วนประกอบอื่นใด นำมาจากสัตว์ทุกประเภท และที่สำคัญอาหารเจ งดเว้นการปรุงการเสพพืชผักฉุน 5 ประเภทอันได้แก่

1 กระเทียม (หมายรวมไปถึง หัวกระเทียม ต้นกระเทียม)
2 หัวหอม (หมายรวมไปถึง ต้นหอม ใบหอม หอมแดง หอมขาว หอมหัวใหญ่)
3 หลักเกียว (คือกระเทียมโทนจีน ลักษณะคล้ายหัวกระเทียม แต่มีขนาดเล็กและยาว กว่า ในประเทศไทยไม่พบว่าปลูกแพร่หลาย)
4 กุ้ยฉ่าย (ใบคล้ายใบหอม แต่แบนและเล็กกว่า)
5 ใบยาสูบ (บุหรี่ ยาเส้น ของเสพติดมึนเมา)
ผักดังกล่าวเหล่านี้ เป็นผักที่มีรสหนัก กลิ่นเหม็นคาวรุนแรง นอกจากนี้ยังมีพิษที่ทำลายพลังธาตุทั้ง 5 ในร่างกาย เป็นมูลเหตุให้อวัยวะหลักสำคัญภายในทั้ง 5 ทำงานไม่ปกติ สำหรับผู้ปฏิบัติสมาธิฝึกจิต ไม่ควรรับประทานเป็นอย่างยิ่ง เพราะผักดังกล่าวมีฤทธิ์กระตุ้นจิตใจอารมณ์ให้เร่าร้อนใจคอหงุดหงิดง่าย และยังมีผลทำให้พลังธาตุในกายรวมตัวกันได้ยาก เพราะฉะนั้น โดยหลักเกณฑ์ที่มีมาแต่ครั้งบรรพกาลกล่าวได้ว่า "อาหารเจ" หรือ "อาหารของคนกินเจ" จึงเป็นอาหารที่ปรุงและรับประทานตามหลักเวชศาสตร์และเภสัชศาสตร์โบราณของจีน นั่นเอง

ปัญหาที่มีผู้ถามกันมาก คือ กระเทียม ซึ่งทางการแพทย์และเภสัชค้นพบว่า มีสารที่สามารถละลายไขมันในเส้นโลหิต (คลอเลสเตอรอล) จึงใช้รับประทานเป็นยาได้ เช่น ผู้ป่วยที่เป็นโรคเส้นเลือดโลหิตเลี้ยงหัวใจตีบหรืออุดตัน เป็นต้น ในเรื่องนี้เป็นความจริงทีเดียว แม้ทางการแพทย์แผนโบราณของจีนก็ยืนยันตรงกันว่ากระเทียมเป็นสมุนไพรรักษาโรค ได้ "แม้ว่ากระเทียมจะเป็นยาดี แต่เนื่องจากมีความระคายเคืองสูง ผู้ที่เป็นโรคกะเพาะหรือกะเพาะอาหารเป็นแผลและโรคตับอย่ากินมาก" (จากหนังสือ อาหารเป็นยาได้ เล่ม 2 โดย วีรชัย มาศฉมาดล) แต่ในกรณีของคนปกติทั่วๆ ไปที่ร่างกายไม่ได้ป่วยเป็นโรคใดๆ เลย ทำไมจึงต้องรับประทานยาเข้าไปทุกๆ วัน ฉะนั้นจึงเข้าทำนองเดียววักนับ คนที่ไม่ได้ป่วยเป็นไข้หวัด แต่ก็ยังคงกินยาแก้หวัดเข้าไปเป็นประจำทุกๆ วัน ผลก็คือ แทนที่จะเป็นผลดีกลับกลายเป็นผลร้าย ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพร่างกายเสียอีก

ขอยกตัวอย่างในกรณีของผักฉุนอีกชนิดหนึ่งที่คนกินเจไม่รับประทานได้แก่ หอมแดง ซึ่งกล่าวไว้ในตำราสมุนไพรที่นักเภสัชศาสตร์ปัจจุบัน พบว่ามีสรรพคุณช่วยรักษาโรคโดยวิธี "นำหอมแดงหัวสดๆ หนัก 15-30 กรัม มาต้นแล้วดื่ม จะช่วยขับพยาธิ ขับลม แก้ท้องอืดแน่น ปวดประจำเดือน และอาการบวมน้ำ" แต่ในท้ายก็ได้ระบุพิษร้ายของมันไว้ด้วยว่า "ในกรณีที่บริโภคอยู่เป็นประจำหรือกินมากเกินไป จะทำให้เกิดอาการหลงลืมง่าย ประสาทเสีย มีกลิ่นตัว ฟันเสีย เลือดน้อย และนัยน์ตาฝ้ามัว" (จากหนังสือ พืชสมุนไพรใช้เป็นยา เล่ม 8 โดย ภูมิพิชญ์ สุชาวรรณ) เพราะฉะนั้น เราจึงควรศึกษาให้ถี่ถ้วนลึกซึ้งถึงคุณและโทษของผักฉุนทั้ง 5 ให้รอบคอบเสียก่อน ไม่เป็นการฉลาดเลยที่จะรับประทานสิ่งใดก็ตาม โดยมองเห็นแต่ด้านดี จนไม่ใส่ใจในโทษของมันบ้างเลย ผักฉุนทั้ง 5 ชนิด ที่คนกินเจไม่บริโภค 1 กระเทียม (GARLIC) 2 หัวหอม (ONION) 3 หลักเกียว (หัวกระเทียมโทนของจีน) ไม่พบว่ามีการปลูกแพร่หลายในประเทศไทย) กุ้ยฉ่าย (CHINESE CHIVE) 5 ใบยาสูบ (TOBACCO)

ถั่วทั้ง 5 สี ที่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกาย

1 ถั่วแดง (RED BEANS)
2 ถั่วดำ (BLACK BEANS)
3 ถั่วเหลือง (SOY BEANS)
4 ถั่วเขียว (GREEN BEANS)
5 ถั่วขาว (WHITE BEANS)
"อาหารมังสวิรัติ" แตกต่างจาก "อาหารเจ" อย่างไร? อาหารมังสวิรัติ หมายถึง อาหารที่ปราศจากเนื้อสัตว์ทุกประเภท แต่ยังคงใช้ผักทุกประเภทมาปรุงอาหารรับประทาน ในส่วนของ "อาหารเจ" เป็นอาหารที่ปราศจากเนื้อสัตว์ทุกประเภทเช่นกัน แต่อาหารเจจะไม่ใช้ผักฉุนทั้ง 5 ประเภท มาปรุงลงในอาหารโดยเด็ดขาด เพราะฉะนั้นผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัติอยู่แล้ว หากจะทดลองปรุงและรับประทานอาหารเจดูบ้าง ก็เพียงแต่ไม่บริโภคผักฉุนทั้ง 5 ประเภทก็เรียกว่าเป็น "อาหารเจ" และ "กินเจ" ได้แล้วนั่นเอง

ข้อควรปฏิบัติในการรับประทานอาหารเจ

1. พืชผักและผลไม้ เป็นของคู่กันเสมอ นอกจากผักสดๆ ที่นำมาปรุงเป็นอาหารแล้ว คนกินเจจำเป็นต้องรับประทานผลไม้สดๆ หลังอาหารทุกมื้ออย่างสม่ำเสมอ การเลือกซื้อผักผลไม้เพื่อนำมาปรุง และการบริโภคในแต่ละวันควรจัดให้ได้ครบตามสีของธาตุทั้ง 5 ดังนี้

1. สีแดง (แดงส้ม, แสด, ชมพู) สัญลักษณ์ ธาตุไฟ  
2. สีดำ (น้ำเงิน, ม่วง) สัญลักษณ์ ธาตุน้ำ  
3. สีเหลือง (เหลืองแก่, เหลืองอ่อน) สัญลักษณ์ ธาตุดิน  
4. สีเขียว (เขียวเข้ม, เขียวอ่อน) สัญลักษณ์ ธาตุไม้  
5. สีขาว (ขาวนวล, ขาวสะอาด) สัญลักษณ์ ธาตุโลหะ 

ตารางผัก, ผลไม้ แบ่งตามทั้ง 5 หมู่สี ผัก ผลไม้

แดง มะเขือเทศ, พริกสุก, หัวแครอท ฯลฯ มะละกอ, ส้ม, แตงโม ฯลฯ
ดำ มะเขือม่วง, เผือก, เห็ดหูหนู ฯลฯ ละมุด, ลูกหว้า, องุ่น ฯลฯ
เหลือง ฟักทอง, ข้าวโพด, พริกเหลือง ฯลฯ มะม่วง, กล้วย, ทุเรียน ฯลฯ
เขียว ผักคะน้า, ถั่วฝักยาว, ผักบุ้ง ฯลฯ ฝรั่ง, ชมภู่, มะเฟื่อง ฯลฯ
ขาว หัวผักกาดขาว, ผักกาดขาว, กระหล่ำดอก มะพร้าว, น้อยหน่า ฯลฯ
ผัก ผลไม้ไม่จำเป็นต้องมีราคาแพงหรือเป็นประเภทยาก เช่น พวกผักผลไม้เมืองหนาว ควรยึดหลักราคาถูก ประหยัด แต่มีคุณประโยชน์สูง จึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่รู้จักฉลาดกิน ฉลาดใช้ ประหยัดยอด ประโยชน์เยี่ยม

ประเทศไทยเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ด้วยผักผลไม้หลายหลาก ตลอดปีเราสามารถหามาบริโภคได้ไม่ขาดแคลน จึงควรเลือกซื้อมาปรุงและบริโภคให้ครบทั้ง 5 สี โดยสลับเปลี่ยนหมุนเวียนนำมาบริโภคในแต่ละวันโดยไม่ซ้ำกัน และไม่ควรเลือกทานเฉพาะอย่างหนึ่งอย่างใดที่ตนชอบ โดยไม่คำนึงถึงคุณประโยชน์หลายๆ ท่านเลือกรับประทานผักผลไม้เฉพาะอย่างเพื่อความอร่อยเท่านั้น เป็นการรับประทานอาหารเจที่ยังไม่ถูกหลัก

2. เมล็ดธัญพืช นอกจากผักผลไม้ที่ต้องรับประทานให้ครบทุกสีเป็นประจำแล้ว เมล็ดธัญพืชได้แก่ ถั่ว ถั่วแปลกแข็งทุกประเภท พืชที่เป็นหัวในดิน เช่น เผือก มัน กลอย มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก โดยเฉพาะเมล็ดถั่วมีสารอาหารครบทุกหมู่ ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต คือแป้งและน้ำตาล โปรตีน ไขมัน วิตามิน เกลือแร่หลายชนิด คนที่กินเจควรรับประทานถั่วทั้ง 5 สีเป็นประจำ ได้แก่ ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่งเหลือง ถั่วเขียว ถั่วขาว

ถั่วทั้ง 5 สีนี้ ราคาไม่แพงมีอยู่แพร่หลาย บางทีก็ทำเป็นของหวานต่างๆ เช่น ถั่วดำบวช ถั่วแดงต้มน้ำตาล ถั่วเหลืองน้ำกะทิ (เต้าส่วน) ถั่วเขียวต้มน้ำตาลกรวด ถั่วลิสงอบ หรือเคลือบน้ำตาล ลูกเดือยบวช ถั่วขาวกวน ฯลฯ สำหรับถั่วขาวไม่ค่อยจะมีการปลูกแพร่หลายในประเทศไทย แต่ก็สามารถรับประทานถั่วลิสงซึ่งให้ประโยชน์ทดแทนกันได้

ทุกคนควรรับ ประทานถั่วดังกล่าวหมุนเวียนไปให้คบทุกสีจะทำให้ร่างกาย ได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์ และช่วยเสริมให้อวัยวะหลักสำคัญภายในทำงานได้ดียิ่งขึ้น

เนื้อเมล็ดในของพืชผัก อันได้แก่ เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง เมล็ดแตงโม มันฮ่อ นับเป็นของขบเคี้ยวที่คนกินเจรู้จักดี เนื้อในของเมล็ดพืชดังกล่าว เป็นแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินมากมายหลายชนิด ซึ่งทรงคุณค่าทางโภชนาการอย่างยิ่ง

ถั่วทั้ง 5 สีที่ให้คุณประโยชน์ต่ออวัยวะหลักภายใน 
1. ถั่วแดง (RED BEANS) ให้คุณต่อหัวใจ  
2. ถั่วดำ (BLACK BEANS) ให้คุณต่อไต  
3. ถั่วเหลือง (SOY BEANS) ให้คุณต่อม้าม  
4. ถั่วเขียว (GREEN BEANS) ให้คุณต่อตับ   
5. ถั่วขาว (WHITE BEANS) ให้คุณต่อปอด

ธาตุทั้ง 5 สี ถั่วแต่ละสี บำรุงอวัยวะ ธาตุไฟ ธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุไม้ ธาตุโลหะ แดง ดำ เหลือง เขียว ขาว ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วขาว หัวใจ ไต ม้าม ตับ ปอด

3. การได้รับประทานสาหร่ายทะเลทั้งสดและแห้งพร้อมทั้งใช้เกลือทะเลมาปรุงลงในอาหาร ทั้ง 2 อย่างนี้มีไอโอดีน ซึ่งจะสามารถป้องกันโรคคอพอกได้เป็นอย่างดี

4. งาขาวและงาดำ ในอาหารและขนมคนกินเจควรใช้งาปรุงผสมด้วยเสมอ ไม่ว่าจะเป็นงาขาวหรืองาดำ เพราะในเมล็ดงามีกรดไขมันไลโนเลอิค (LINOLEIC ACID) ซึ่งจำเป็นต่อร่างกายมากแต่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้

สำหรับผู้ทำอาหารเจรับประทานเอง ให้นำงาขาวมาล้างเอาผงฝุ่นออกจนสะอาดดี ตักใส่ตะแกรงทิ้งไว้ให้หมาดแล้วใช้ไฟอ่อนๆ คั่วในกระทะจนสุกเหลืองพอเย็นจึงนำมาโขลกหรือ ปั่นให้แตกด้วยเครื่อง จะทำให้ได้ประโยชน์จากน้ำมันที่อยู่ในเมล็ดดียิ่งขึ้น งานที่บดแล้วจะมีกลิ่นหอมสามารถนำใช้ปรุงอาหาร และขนมได้ทุกประเภท ทำให้มีรสดี หอมน่ารับประทาน โดยปกติผู้ที่กินเจควรรับประทานงานในปริมาณวันละ 2 ช้อนโต๊ะ ก็นับว่าเพียงพอแก่ความต้องการของร่างกาย

5. ผู้ที่กินเจ ไม่ควรรับประทานรสจัดเกินไป เช่น เผ็ดจัด เค็มจัด ขมจัด เปรี้ยวจัด หวานจัด รสชาติที่จัดมากๆ จะส่งผลไปถึงอวัยวะหลักดังนี้

รสขม ส่งผลต่อ หัวใจ
รสเค็ม ส่งผลต่อ ไต
รสหวาน ส่งผลต่อ ม้าม
รสเปรี้ยว ส่งผลต่อ ตับ
รสเผ็ด ส่งผลต่อ ปอด
6. หลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารหมักดอง เช่น ผักดอง ผลไม้ดอง เครื่องกระป๋อง อาหารสำเร็จรูป ควรหันมารับประทานอาหารสดที่ปรุงใหม่ๆ จะให้คุณประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่า

7. เครื่องดื่ม คนกินเจควรดื่มน้ำผลไม้สดๆ ตามธรรมชาติ เช่น น้ำส้ม น้ำมะเขือเทศ น้ำสับปะรด น้ำอ้อย น้ำมะพร้าว น้ำใบบัวบก น้ำมะตูม ฯลฯ    น้ำผลไม้ดังกล่าวจะทำให้ร่างกายและผิวพรรณสดชื่นเปล่งปลั่ง เราควรงดน้ำหวานที่ปรุงแต่งรสและเจือสีสังเคราะห์ เพื่อหลีกเลี่ยงพิษภัยจากสิ่งปลอมปน

นอกจากการดื่มน้ำผลไม้สดๆ แล้ว ทุกคนต้องดื่มน้ำสะอาดให้ได้วันละ 8 แก้ว เป็นประจำ

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นหลักความรู้ในการปรุงและบริโภคอาหารเจ ซึ่งคนกินเจต้องยึดถือปฏิบัติ เพื่อให้ได้มาซึ่งพลานามัยที่สุขสมบูรณ์พร้อมทั้งทางร่างกายและจิตใจ

ขอบคุณเนื้อหาดีๆ จาก www.horapa.com